ปัจจุบันเวลาเราต้องการฝากเงินโอนเงิน หรือถอนเงิน เราจะใช้ธนาคารเป็นผู้ที่เราไว้ใจให้เขาเก็บรักษาเงิน และทำธุรกรรมทางการเงินของเรา ในโลกคริปโตถ้าเราฝากเงินไว้กับ Exchange ก็จะทำหน้าที่เหมือนกับธนาคาร คือเขาจะเก็บรักษาเงินของเราเอาไว้ โดยจะเก็บในรูปแบบ กระเป๋าคริปโต หรือ Crypto Wallet
“ การที่เราฝากเงินไว้กับอะไร เราต้องเชื่อใจว่าเขาจะไม่ทำให้เงินของเราศูนย์หาย หรือป้องกันการโดนโจรกรรมต่างๆได้”
กระเป๋าคริปโต คืออะไร (Crypto Wallet)
กระเป๋าคริปโต คือ เครื่องมือตัวหนึ่งทำหน้าที่เก็บเหรียญคริปโตของเราไว้ โดยแทบทุกคนที่ทำการเทรดคริปโตก็จะมี Wallet เป็นของตัวเองทั้งนั้น
โดยการใช้รหัสในการเข้าถึงกระเป๋าที่ประกอบไปด้วย 2 อย่าง ก็คือ
1.กุญแจสาธารณะ (Public Key)
2.กุญแจส่วนตัว (Private Key)
กุญแจ 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการรักษาความปลอดภัย และการส่งเหรียญเข้าออกผ่านธุรกรรมบน Blockchain
รหัสอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญในการใช้เปิดกระเป๋าก็ คือ Seed Phase
Seed Phase ก็คือ ชุดคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้สำหรับกู้ Private key เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่เก็บไว้ในกระเป๋าแบบ Software wallet อย่าง MetaMask, Safepal รวมถึง Hardware wallet อย่าง Trezor หรือ Ledger Nano ใช้ในกรณีอุปกรณ์สูญหายหรือเปลี่ยนอุปกรณ์
Seed Phase เป็นรหัสที่เราต้องเก็บไว้อย่างดีห้ามให้คนอื่นรู้เพราะไม่สามารถแจ้งเปลี่ยนได้ หรือแจ้งลืมรหัสได้
ประเภทของกระเป๋าคริปโต (Crypto Wallet)
กระเป๋าคริปโตยังแบ่งได้อีกหลักๆ 2 ประเภท คือ Hot Wallet และ Cold Wallet
Hot Wallet คืออะไร
Hot Wallet คือ กระเป๋าคริปโตที่สามารถเชื่อมต่อกับ Internet ได้ ใช้งานได้ง่ายแค่มี Internet ก็เชื่อมต่อได้เลย ตัวอย่างเช่น Meta Mask, Safe Pal
Cold Wallets คืออะไร
Cold Wallet คือ คือ กระเป๋าคริปโตที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Internet ต้องใช้อุปกรณ์ Hardware Wallet มาเป็นตัวเป็นกุญแจในการเข้าประเป๋าอีกที ซึ่งการเก็บรหัสในรูปแบบนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการโดน Hack ได้จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ต้องการจะเก็บเหรียญคริปโตไว้ยาวๆ เพราะมีความปลอดภัยสูงมาก
***ถ้าไม่ลืมรหัสในการเข้านะ เพราะถ้าลืมก็ไม่มีใครช่วยได้ และไม่สามารถกู้รหัสได้เลย เปลี่ยนรหัสก็ไม่ได้***
แล้วคนที่ลงทุนในคริปโตจำเป็นต้องมี Wallet หรือ กระเป๋าคริปโตไหม?
ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการเก็บคริปโตในระยะยาวไหม ต้องขอพูดเรื่องความเสี่ยงก่อนเลย
ถ้าคุณซื้อขายคริปโตบน Exchange ก็คือเหรียญทั้งหมดอยู่ที่ Exchange เราเป็นเจ้าของก็จริงแต่ไม่ได้เป็นคนที่ถือมันไว้จริงๆ เพราะอยู่ในกระเป๋าของ Exchange ที่เราทำการซื้อขายถ้า Exchange นั้นปิด หรือหายไปความเสี่ยงที่เราจะไม่ได้เหรียญคริปโตของเรามาถือก็มีโอกาสเป็นไปได้
เหมือนเคสของ Exchange ประเทศตุรกี ที่ชื่อว่า “Thodex” ที่ปิดตัวกะทันหัน และผู้ก่อตั้ง Faruk Fatih Özer ได้หลบหนี ทำให้ผู้ใช้บริการกว่า 3.9 แสน คนไม่สามารถทำธุรกรรมได้ มีความเสียหายเกิดขึ้นกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท
เห็นอย่างนี้แล้วต่อให้ Exchange จะมีความน่าเชื่อถือขนาดไหน แต่ถ้าเงินไม่ได้อยู่ในกระเป๋าของเราก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ มีคำพูดคำหนึ่งที่ยอดฮิตมากในหมู่ Holder ของคริปโตว่า “Not you key Not your coin” ถ้าไม่ใช่กระเป๋าของคุณ เหรียญก็ไม่ใช่ของคุณเหมือนกัน
สำหรับใครที่อยากจะถือเหรียญในระยะยาว เพื่อความปลอดภัย และเอาชัวร์แน่ๆ แนะนำว่ามี Wallet และ Hardware Wallet มาใช้คู่กันดีกว่านะครับผม