วันนี้ผมจะพาไปรู้จักกับ Exchange หรือ ที่คนเรียกว่า เว็บเทรดคริปโต ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้สามารถเปิดให้บริการในประเทศไทยเราว่าเจ้าไหนจะเป็นยังไง และมีความน่าสนใจแบบไหนบ้าง เปรียบเทียบแต่ละเจ้าเลย เพือให้สามารถพิจารณาเลือก exchange เว็บเทรดเจ้าไหนดี ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเล่ย
ทำความรู้จัก เว็บเทรดคริปโต ที่เปิดให้บริการในประเทศไทย รับรองโดย กลต
ปัจจุบันในไทยมี 5 เว็บเทรด ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการในไทย ซึ่งแต่ละที่ก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป โดยเรารวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว โดยจะเปรียบเทียบที่ ค่าธรรมเนียมการเทรด, ค่าธรรมเนียมการถอน และจำนวนสกุลหรือเหรียญที่เปิดให้เทรดด้วย
Bitkub
Bitkub เป็นแพลตฟอร์มเทรดเหรียญดิจิทัลด้วยเงินบาทแห่งแรกของไทยก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ซึ่งได้รับการรับรองอย่างถูกต้องจาก กลต. พร้อมให้บริการโดยเจ้าหน้าที่คนไทยตลอด 24 ชม.
โดยให้บริการแก่บุคคลทั่วไป ให้สามารถซื้อ ขายและเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล ได้ตามต้องการ จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 290 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
ให้บริการ Blockchain และ Cryptocurrency ที่ใช้งานง่ายและเป็น Exchange ที่ผู้ใช้งานทุกระดับในประเทศไทยไว้วางใจได้ เป็น Exchange Platform ที่ให้บริการกระเป๋าเงิน Cryptocurrency แบบหลายสกุลเงิน มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้งานง่าย และมีตัวเลือกในการนำเงินสดสำหรับธุรกิจที่ต้องการจะพัฒนาระบบประมวลผลการชำระเงิน
จุดเด่น Bitkub
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.25% /ครั้ง
- ค่าธรรมเนียมการถอนเงินซ 20-200 บาท
- จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 65 เหรียญ
- สามารถ KYC ผ่าน 7-11 ได้
จุดด้อย Bitkub
- สามารถซื้อได้แบบ Spot เท่านั้น
- ตั้ง Stoploss ได้แค่ BTC และ ETH
- สภาพคล่องยังไม่มากพอที่จะ Match Order ได้ทันทีเวลาตั้ง Limit Order
Bitazza
Bitazza Thailand คือบริษัทไทยที่ได้รับการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต. ใบอนุญาตนายหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดให้บริการลูกค้าคนไทยเป็นหลักในตอนแรก และมีการงขยายกิจการสู่ตลาดสากลโดยใช้ Bitazza Global เป็นศูนย์กลางการให้บริการตลาดสากล เพื่อบริการลูกค้าต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทุนจดทะเบียน 45ล้านบาท
จุดเด่น Bitazza
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.25% ครั้ง
- ค่าธรรมเนียมการถอน: 20 บาท
- จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 60 เหรียญ
จุดด้อย Bitazza
- สภาพคล่องยังไม่มากพอที่จะ Match Order ได้ทันทีเวลาตั้ง Limit Order
Satang Pro
Satang Pro แพลตฟอร์มเพื่อการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการพัฒนาโดยฝีมือของคนไทยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของคนไทย แพลตฟอร์มนี้ได้รับใบอนุญาตจากศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท
จุดเด่น Satang Pro
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.2% ครั้ง
- ค่าธรรมเนียมการถอน: 18 บาท
- จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 47 เหรียญ
จุดด้วย Satang Pro
- สภาพคล่องยังไม่มากพอที่จะ Match Order ได้ทันทีเวลาตั้ง Limit Order
- จำนวนเหรียญเปิดให้เทรดน้อย
Zipmex
แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงแห่งเดียวที่ดำเนินการและปฏิบัติตามกฎหมายใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย (ซ้าย) แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด (ขวา) ดร.เอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานผู้บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Zipmex Thailand. ทุนจดเบียน 112ล้านบาท
จุดเด่น Zipmex
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.2% ครั้ง
- ค่าธรรมเนียมการถอน: 20 บาท
- จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 74 เหรียญ
จุดด้อย Zipmex
- สภาพคล่องยังไม่มากพอที่จะ Match Order ได้ทันทีเวลาตั้ง Limit Order
- กราฟที่กระดานเทรดดูค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในมือถือดูยากเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น
Up Bit
Up Bit แพลตฟอร์มเทรดคริปโทเคอร์เรนซี สัญชาติเกาหลีใต้ ที่ก่อตั้งในปี 2017 ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่สุดในโลก มีเปิดให้บริการในประเทศไทยแล้วในปี 2021 ทุนจดทะเบียน 180ล้านบาท
จุดเด่น Up Bit
- ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.15% ครั้ง
- ค่าธรรมเนียมการถอน: 15 บาท
- จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 23 เหรียญ
จุดด้อย Up Bit
- สภาพคล่องยังไม่มากพอที่จะ Match Order ได้ทันทีเวลาตั้ง Limit Order
- จำนวนเหรียญเปิดให้เทรดน้อย
ข้อดีโดยรวมของ Exchange เว็บเทรดคริปโต ในไทย
มีความปลอดภัยสูง
เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ Exchange เพราะเมื่อเงินของเราไปอยู่ที่เขาแล้วเราต้องมมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำให้เงินเราหายมีการดูแลรับผิดชอบอย่างดี และมีเจ้าหน้าที่คอยซัพพอร์ตเวลามีปัญหา
ทุกเจ้าที่ปิดต้องได้รับใบอนุญาตเป็นศูนย์ซื้อขายเหรียญคริปโตจาก กลต.
ปัจจุบัน เว็บเทรดคริปโต ที่สามารถเปิดให้บริการในประเทศได้ต้องได้รับการยอมรับ และตรวจสอบจาก กลต.ก่อนเพื่อความน่าเชื่อถือ
สามารถฝากเงินเข้าออกกับแอปพลิเคชั่นธนาคารได้ง่ายโดยตรง
สามารถใช้เงินบาทไทยฝากเอาแอปพลิเคชั่นกับทางเว็บเทรดได้โดยตรงเลย
จุดอ่อนโดยรวมของ เว็บเทรดคริปโต ในประเทศไทย
ส่วนใหญ่ เว็บเทรดคริปโต ในไทยจะไม่มี Volume และสภาพคล่องที่มากพอ
เป็นปัญหาหลักๆ ที่คนที่ใช้ Exchange ไทยต้องเจอ เพราะถ้าการซื้อขายขาดสภาพคล่องทำให้คนที่เทรดนั้นไม่สามารถซื้อขายได้ทันที ณ ราคาที่ต้องการ หรืออยากซื้อก็ซื้อไม่ได้ทันทีต้องรอประมาณหนึ่งเพื่อให้ Order match กับความต้องการ
Product ทางการเงินที่ถูกจำกัด
นอกจากเรื่อง Volume แล้วเรื่องความหลากหลายของ Product ทางการเงินที่ถูกจำกัด ยกตัวอย่างเช่น Future , Option ที่ยังไม่สามารถทำในประเทศไทยได้
ภาษี
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นักเทรดกังวลว่าจะต้องเสียเท่าไหร่ และมีการเอายอดที่เสียมาหักค่าใช้จ่ายด้วยได้ไหม เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดการเงินสิ่งที่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน กำไรที่ได้มามีต้นทุน การการขาดทุนอยู่ในนั้นทำให้นักเทรดหลายคนเลือกที่จะไปใช้เจ้าต่างประเทศมากกว่า