คริปโต คืออะไร? สรุปความรู้คริปโตฯ (Cryptocurrency) สำหรับมือใหม่ [อัปเดต 2022]

สรุปความรู้พื้นฐานคริปโต คริปโต คืออะไร เริ่มต้นยังไง มือใหม่ต้องรู็

นี่คือคัมภีร์ข้อมูลพื้นฐานสำหรับมือใหม่ เรื่องการเงินสำหรับอนาคต ที่เราเรียกมันว่า คริปโต (Cryptocurrency)

เงินที่ใช้อยู่มันจะใช้เป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยน ไปได้อีกนานแค่ไหน ?
คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าระบบการเงินที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันมันจะเปลี่ยนไป
คุณเคยได้ยินนี้หรือไม่ “อนาคตมาถึงคุณแล้ว”

วันนี้ผมจะพาคุณไปรู้จักกับการเงินในยุคใหม่ การเงินสำหรับอนาคต ที่เราเรียกมันว่า คริปโตเคอเรนซี่ Cryptocurrency

คริปโต คืออะไร?

คริปโตฯ (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนบนโลกออนไลน์ ซึ่งจะเรียกกันเป็นเหรียญ

แต่ละเหรียญ ถูกสร้างหรือผลิตออกมาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อะไรบางอย่างที่ต่างกันออกไป เช่น ถูกผลิตมาเพื่อเป็นส่วนลด “ค่าธรรมเนียม” ในการใช้บริการของ Platform หรือบางเหรียญถูกสร้างมาเพื่อใช้ในระบบนิเวศน์ (Ecosystem)

คริปโตเคอเรนซี่ คือเงินยุคใหม่ที่ไร้ตัวกลางในการควบคุม และมูลค่าของเหรียญขึ้นอยู่กับการถือ ครองของผู้คน ยิ่งมีคนถือครองมากเท่าไหร่ มูลค่าก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นเปรียบเสมือน Facebook และ Social Media Platform ต่างๆ

นั่นแปลว่า Crypto นั้นจะมีมูลค่าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้คนให้ค่ามากน้อยแค่ไหนถ้าสามารถนำไปทำประโยชน์ได้เยอะ และแนวโน้มที่เหรียญนั้นจะมีความต้องการที่มาก มูลค่าก็จะสูงขึ้น และเป็นที่หมายปองของนักลงทุน หรือถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเหรียญไหนราคาจะวิ่งขึ้นได้ต้องมี “ความต้องการซื้อ (Demand)” ที่สูงนั่นเอง

ซึ่งในปัจจุบัน Cryptocurrency ที่เกิดขึ้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 10,413 เหรียญ โดยเหรียญที่เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากที่สุด คือ บิทคอยน์ (Bitcoin)

การทำงานของคริปโต จะมีการเข้ารหัสเพื่อเป็นการประกันในธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยจะทำงานอยู่บนเทคโนโลยีที่เรียกว่า “บล็อกเชน (Blockchain)”

บล็อกเชน คืออะไร?

บล็อกเชน เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง น่าเชื่อถือ โดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง เป็นเทคโนโลยีที่มีการกระจายศูนย์ และข้อมูลบน Blockchain ยังเปลี่ยนแปลงได้ยาก ส่งผลให้ความเสี่ยงถูกโจรกรรมน้อยมาก

Blockchain เป็นแหล่งบันทึกและเก็บข้อมูลเหรียญ Crypto ต่าง ๆ ไว้ และทำให้ข้อมูล Digital transaction ของแต่ละคนสามารถแชร์ไปยังทุก ๆ คนได้ เป็นเสมือนห่วงโซ่

ซึ่งเราสามารถส่งเหรียญคริปโตต่าง ๆ หากันได้ โดยไม่ต้องมีตัวกลาง ถึงแม้สองบุคคลจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ด้วยความมั่นใจ เพราะทุกคนสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมได้

บิทคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร?

ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ บิทคอยน์เป็นหนึ่งในสกุลเงินรูปแบบดิจิทัลที่ใช้แลกเปลี่ยนผ่านระบบ Blockchain ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้

บิทคอยน์ถูกสร้างโดย Satoshi Nakamato ซึ่งเป็นเพียงนามแฝงของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลลึกลับโดยที่ไม่มีใครทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่การไม่เปิดเผยตัวตนนั้นก็เป็นความตั้งใจของ Satoshi ตั้งแต่แรก เพื่อที่จะสร้าง Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่ไร้การควบคุมจากตัวกลางตามอุดมคติของเขา

ซึ่ง Satoshi ต้องการกำจัดตัวกลางในการทำธุรกรรมทางการเงินซึ่งบิทคอยน์ทำงานโดยไม่ผ่านตัวกลาง เป็นอิสระ ไม่มีหน่วยงานไหนสามารถควบคุม หรือแทรกแซงได้

และเจ้าตัวบิทคอยน์นั้นมีปริมาณที่จำกัด ในปัจจุบันปี 2021 มีปริมาณบิทคอยน์อยู่ที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันเป็นกระแสที่ทำให้คนหรือนักลงทุนสนใจสะสมกันเป็นจำนวนมาก

เช็คราคาบิทคอยน์วันนี้ได้ที่นี่

ข้อมูลพื้นฐานของ Bitcoin

แล้ว Bitcoin กับ Blockchain เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

Blockchain คือ เทคโนโลยีที่ใช้เก็บข้อมูล และมีความปลอดภัยสูง สามารถตรวจสอบได้
Bitcoin คือ สกุลเงินบนโลกดิจิตอล

เราจะเห็นได้ว่า Blockchain ไม่ใช่ Bitcoin
และ Bitcoin ก็ไม่ใช่ Blockchain

Bitcoin หรือ Crypto เหรียญต่าง ๆ เพียงแค่นำ Blockchain มาใช้ เพื่อให้การซื้อขายสกุลเงินดิจิ มีความปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว และสามารถตรวจสอบได้

เหรียญ (Coin) vs โทเค็น (Token)

ในตลาดคริปโตจะมีอยู่ 2 คำที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆ คือ เหรียญ เช่น บิทคอยน์ อีเธอเรียม และอีกคำคือ โทเค็น ที่จริงๆ ก็มีลักษณะเหมือนเหรียญเช่นกัน แต่ทั้งสองอย่างนี้คืออะไรกันนะ

Coin หรือ เหรียญ คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ถูกพัฒนาบนบล็อกเชนของตัวเอง
ใช้เป็นเหมือนเงินในรูปแบบดิจิทัล เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการต่าง ๆ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ

ตัวอย่าง Coin ที่เราน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างเช่น บิทคอยน์ (Bitcoin), อีเธอเรียม (ETH), BNB, ADA, XRP, DOGE, SOL, DOT และ LUNA ที่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเอง

Token หรือ โทเค็น คือ สกุลเงินดิจิทัลที่อาศัยอยู่บนบล็อกเชนของเหรียญอื่น ๆ ผ่าน Smart Contract แบ่งได้ 2 ประเภท คือ

  1. Utility Token โทเค็นที่สร้างขึ้นเพื่อการใช้งานโดยเฉพาะ เช่น เอาไว้ใช้ในการเข้ารับบริการต่าง ๆ
  2. Investment Token โทเค็นที่เปรียบเสมือนหุ้นหรือหลักทรัพย์ใช้เป็นคะแนนสำหรับการโหวตคล้ายเวลาถือหุ้นในบริษัท
เหรียญ ต่างจาก โทเค็นอย่างไร

แล้ว Smart Contract คืออะไร?

ถ้าพูดตามภาษาทั่วไปก็คือ.. ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อครบเงื่อนไขตามที่ตั้งเอาไว้

ถ้าเป็นทางการขึ้นมาอีกนิดก็จะอธิบายได้ว่า ชุดคำสั่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขียนลงไปควบคุมการทำงานของชุดข้อมูลบนระบบ Blockchain ของ Ethereum เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปตามโปรแกรมที่เขียนเอาไว้

งงกันม๊ะ ถ้างง เดะผมลองยกตัวอย่างให้อ่าน

“ตู้กดน้ำอัตโนมัติ” โปรแกรมในตู้จะถูกระบุไว้ว่า “ต้องใส่เงินให้เท่ากับราคาของน้ำที่จะซื้อเท่านั้น ” ตู้ถึงจะปล่อยสินค้าให้ผู้มากด

อธิบายขยายความอีกทีก็คือ ถ้าน้ำเปล่าขวดละ 10 บาท เมื่อคุณยอดเหรียญ 10 เข้าไปในตู้
น้ำเปล่าขวดละ 10 บาทก็จะออกมาให้คุณ แต่!! ถ้าน้ำเปล่าขวดละ 10 บาท แล้วคุณหยอดเหรียญ 5 บาท ไป 1 เหรียญ น้ำเปล่าก็จะไม่ออกมาให้คุณ เพราะว่ามูลค่าที่หยอดไปไม่ตรงกับค่าของโปรแกรมที่ตั้งไว้ว่า “ต้องใส่เงินครบ 10 บาท น้ำเปล่าขวดนี้ถึงจะปล่อยออกมาให้คุณ”

ถ้าถามว่า Smart Contract คืออะไร ? สรุปแล้วก็คือ ชุดคำสั่งที่จะทำงานอัตโนมัติก็ต่อเมื่อครบเงื่อนไขที่ตั้งไว้ สิ่งที่สำคัญคือ (มันไร้ตัวกลาง , ปลอดภัย , สะดวก , รวดเร็ว และยังตรวจสอบประวัติธุรกรรมได้)

สำหรับในเชิงพาณิชย์ หรือ ธุรกิจ Smart Contract ถูกใช้ทำหน้าที่เป็นสัญญาระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ที่จะระบุเงื่อนไขข้อตกลงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องปฎิบัติต่อกันและ Smart Contract จะทำงานด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติเมื่อครบตามเงื่อนไงที่ตั้งไว้ โดยที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้หรือโกงสัญญาที่ถูกเขียนไว้ได้

หรือถ้าจะมองในแง่ของการนำไปใช้ประโยชน์ในแบบอื่นในทางเกี่ยวกับ Program ต่าง ๆ Smart Contract ก็คือตัวที่เขียนเงื่อนไขเพื่อควบคุมการทำงานของโปรแกรมให้เป็นไปตามที่เราต้องการ

เริ่มต้นลงทุนคริปโต ยังไงดี

ก่อนจะเข้าสู่การลงทุนอย่างจริงๆจังๆ หรือเทรดยังไง หรือทำกำไรอย่างไร

เรามาดูเช็คลิสต์ที่มือใหม่ต้องเตรียมก่อนเข้าเทรดว่ามีอะไรบ้าง

  • เงินเย็น ที่เราสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่เดือนร้อนอะไร และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้
  • ความรู้พื้นฐานเรื่องคริปโต ถ้ายังไม่มีอย่าพึ่งเข้ามา แต่ถ้าใครอ่านมาถึงจุดนี้ ถือว่าคุณมีความรู้เบื้องต้นบ้างแล้ว แต่ก็ต้องอ่านให้จบก่อนนะครับ
  • โบรคเกอร์/กระดานเทรด/Exchange ควรเลือกลงทุนกับกระดานเทรดที่ได้รับมาตรฐานและน่าเชื่อถือ อีกทั้งต้องทำความเข้าใจด้วยว่า บางกระดานเทรกอาจจะไม่มีเหรียญสกุลที่เราสนใจลงทุนก็ได้ เพราะงั้นศึกษาก่อนนะครับ
  • ความรู้ในการเข้าเทรด ตรงนี้อยู่ที่ทางเราว่าสนใจแบบไหน ปกติจะมีแบบ Technical และ Fundamental จะเป็นจุดที่ทำให้เราประเมินการเข้าออกของการเทรด จุดนี้ถ้าใครยังไม่มีความรู้แล้วอยากศึกษาเพิ่ม ลอง คลิกที่นี่ เพื่อเข้าใจพื้นฐานตั้งแต่ต้นจนจบในการเทรด
  • ความรู้ในการบริหารพอร์ต ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ควรจะต้องศึกษาไว้ตั้งแต่แรก หลายคนไม่ใส่ใจ แต่จุดนี้สำคัญมาก ที่จะทำให้เทรดได้ระยะยาว จุดนี้ถ้าใครยังไม่มีความรู้แล้วอยากศึกษาเพิ่ม  คลิกที่นี่เลย

มีเหรียญคริปโตแล้ว แต่ต้องเก็บไว้ที่ไหน

ถ้าเรามีเหรียญแล้ว เราก็ต้องมีกระเป๋าตังที่สามารถเก็บเหรียญได้ โดยจะรู้จักกันว่า Crypto Wallet หรือ กระเป๋าคริปโต หรือก็คือ เครื่องมือตัวหนึ่งทำหน้าที่เก็บเหรียญคริปโตของเราไว้ โดยแทบทุกคนที่ทำการเทรดคริปโตก็จะมี Wallet เป็นของตัวเองทั้งนั้น

หากซื้อขายคริปโตบนเว็บเทรดคริปโต เราเป็นเจ้าของก็จริงแต่ไม่ได้เป็นคนที่ถือมันไว้จริงๆ เพราะอยู่ในกระเป๋าของ Exchange ที่เราทำการซื้อขาย ถ้าเว็บเทรดนั้นปิด หรือหายไปความเสี่ยงที่เราจะไม่ได้เหรียญคริปโตของเรามาถือก็มีโอกาสเป็นไปได้

คำศัพท์ และคำพูดในโลกคริปโต ที่มือใหม่ต้องรู้

เว็บเทรดคริปโต (Exchange) ที่เปิดให้บริการในไทย

ก่อนจะทำธุรกรรมใดๆ ในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ก็ต้องมีที่ที่สามารถซื้อขายเหรียญหรือโทเค็นที่เราอยากลงทุน เรามาดูว่า กระดานเทรดหรือเว็บเทรดคริปโตที่ได้รับใบอนุญาตในไทยมีเจ้าไหนบ้าง

  • Bitkub – บิทคับ เปิดให้บริการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ในปี 2561 ซึ่งปัจจุบันเป็นเว็บคนไทยใช้บริการเทรดเยอะที่สุดในปัจจุบัน จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 65 เหรียญ
  • Bitazza – แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตสัญชาติไทยเจ้าใหม่ที่พึ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นี้เอง จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 60 เหรียญ
  • Satang Pro – Exchange เจ้าแรกที่เจ้าของเป็นคนไทย เปิดให้บริการวันที่ 19 กันยายน 2560 จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 60 เหรียญ
  • Zipmex – ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ให้บริการทั้งหมดใน 4 ประเทศ คือ ไทย สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย  และออสเตรเลีย จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 74 เหรียญ เยอะที่สุดในไทยตอนนี้
  • Up Bit – แพลตฟอร์มเทรด Crypto สัญชาติเกาหลีใต้ ที่ก่อตั้งในปี 2560 จำนวนสกุลที่เปิดเทรด: 23 เหรียญ

หากจะเลือกเปิดกับที่ใดอันนี้แล้วว่า คุณชอบเจ้าไหน เพราะเจ้าเหล่านี้มีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว แต่แล้วแต่ว่าคุณชอบที่จุดไหน เช่น เจ้าไหนมีเหรียญให้เยอะกว่า เจ้าไหนค่าธรรมเนียมน้อย และที่สำคัญเรื่องของการนำเงินเข้า – ออก สะดวกสบายแค่ไหน ถ้าเลือกได้แล้ว ก็ถือว่าคุณได้เอาขาข้างนึงเข้าสู่ตลาดนี้เป็นที่เรียบร้อย

แพลตฟอร์มเทรดคริปโตที่เปิดให้บริการในไทย

รูปแบบการลงทุนในคริปโต เราลงทุนแบบไหนได้บ้างนะ?

ในการลงทุนตลาดคริปโต เราสามารถลงทุนได้หลายลักษณะ หลายรูปแบบมาก แต่ละแบบมีลักษณะและวิธีการที่ต่างกัน และข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน แต่วันนี้ผมนะมาแนะนำวิธีการลงทุนในโลกของ Cryptocurrency ที่เป็นที่นิยมให้ทุกคนได้ลองศึกษากัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราควรศึกษาตรงนี้ก่อน ว่าแบบไหนที่จะเหมาะกับนิสัยและสไตล์เรา เอาที่เราชอบ แล้วศึกษาวิธีนั้นต่อได้เลยครับ

1. การลงทุนแบบออมคริปโต หรือ DCA

DCA หรือ Dollar Cost Averaging คือ การลงทุนในจำนวนเงินเท่า ๆ กันอย่างสม่ำเสมอโดยไม่สนราคาของทรัพย์สินนั้น ๆ จะเขียวจะแดงขอแรงไว้ก่อน ซึ่งหลักของ DCA เป็นการเฉลี่ยต้นทุนไปเรื่อย ๆ และมีจุดประสงค์เพื่อการออมในระยะยาว เหมาะกับการลงทุนระยะยาว

เหมาะกับคนที่มีทุนน้อยและไม่มีเวลาในการเทรดและเหมาะมากสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการออมทรัพย์สินในระยะยาว วางแผนหลังเกษียณก็ได้นะ

หากใครต้องการศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง DCA เพื่อจะลงทุนระยะยาวและดูผลลัพธ์ของการออมด้วยวิธีนี้ได้ โดยกดอ่านต่อที่นี่ – การออมคริปโตแบบ DCA

2. การลงทุนแบบการเทรดด้วย ปัจจัยพื้นฐาน / ปัจจัยด้านเทคนิคอล

การลงทุนแบบการเข้าเทรดคริปโตจะมีรูปแบบหลักๆ ที่นักเทรดใช้ในการหามุมมอง หาความมั่นใจ หรือ หาจังหวะในการเข้าเทรดกัน จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  • เทรดด้วยปัจจัยพื้นฐาน

    การเข้าเทรดแบบนี้จะเป็นการเทรดโดยดูจากตัวเหรียญ บริษัทที่ผลิตเหรียญ เช่นเดียวกับการวิเคราะห์ดูหุ้น ดูโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญ ที่ความนิยมและความมั่นคงของเหรียญในระยะสั้น ระยะยาว ซึ่งจุดนี้แล้วแต่มุมมองและข้อมูลในการวิเคราะห์ ส่วนมากจะวิเคราะห์เพื่อลงทุนระยะกลาง – ยาว

  • เทรดด้วยปัจจัยเทคนิคอล

    การเทรดลักษณะนี้จะเป็นการวิเคราะห์กราฟ ดูดราฟด้วยเทคนิคต่างๆ กัน ซึ่งการเทรดคริปโตลักษณะนี้เป็นที่นิยมมาก โดยจะดูพฤติกรรมราคา หรือ ใช้ Indicator หรือ เครื่องมือช่วยต่างๆ ร่วมไปถึงเทคนิคต่างๆ เช่น การเทรดด้วย Demand Supply, การเทรดด้วย RSI รวมไปถึงการดู Divergence ของราคา หรือแม้กระทั่งที่ดังๆ อย่าง Elliott Wave ในการเข้าเทรด

3. การลงทุนด้วยการขุดเหรียญ

หลายคนคงได้ยินคำว่า ขุดเหรียญ, ขุดบิทคอยด์ ต่างๆ นาๆ กันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังสงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร แล้วมันทำงานยังไงบ้าง

การขุดในที่นี้ไม่ใช่เอาจอบไปตามพื้นดินแล้วขุดหาแบบสมบัติแบบนั้นนะ ไม่ใช่!

การขุดเหรียญคริปโตที่เราได้ยินมานั้น จะมี 2 แบบ

  • ใช้เครื่องขุด – คือการใช้คอมพิวเตอร์ในการเข้าแก้สมการ ประมวลผล เพื่อทำการยืนยันธุรกรรมในระบบ Blockchain หากสามารถแก้สมการได้เราจะได้เหรียญเป็นผลตอบแทน แต่วิธีนี้คุณจะต้องมีคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังมากๆ ซุ่งอาจจะต้องใช้งบสูง
  • ขุดด้วย POS – POS หรือว่า Proof of stake มันคือการที่เราเงินไปซื้อเหรียญหนึ่ง พอซื้อแล้ว ทางเจ้าของเหรียญหรือแพลตฟอร์มจะบอกว่า จะให้ปันผลหรือดอกเบี้ยกับเราเท่าไหร่เป็นผลตอบแทน (คล้ายๆ เหมือนซื้อหุ้นแล้วได้ปันผลเลย)

4. Decentralized Finance หรือ Defi

Decentralized Finance หรือ Defi คือ การเงินแบบไร้ตัวกลางนั่นเอง

ปกติเวลาเราจะไปธนาคาร ธนาคารยังเป็นระบบแบบมีตัวกลางอยู่ หรือ Centralized อยู่ เมื่อไหร่ที่เราเอาเงินเข้าไปฝาก ธนาคารก็จะให้ดอกเบี้ยเราตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งส่วนมากก็มีตั้งแต่ 0.2% – 2% แล้วแต่ธนาคาร แล้วแต่ข้อกำหนดต่างๆ แต่ธนาคารจะเอาเงินไปปล่อยกู้อีกที ซึ่งดอกเบี้ยที่เก็บจากผู้กู้ ก็จะสูงว่าที่ให้เรามาอยู่แล้ว

แต่ระบบ Defi คือ เราสามารถเป็นตัวกลางเองได้ ก็คือ เอาเงินของเราไปให้กับผู้กู้ ซึ่งผู้กู้ก็จะจ่ายดอกเบี้ยกับเรา ในจำนวนดอกเบี้ยที่เต็มเม็ด เต็มหน่วยเลย

5. การลงทุนใน NFT

เอาง่ายๆ เลย NFT คือเรื่องของลิขสิทธิ์

ไม่ว่าจะเป็นผลงานเพลง ภาพวาด หรือแม้กระทั่งเกมส์ก็ได้ อะไรก็ได้ที่เป็นการสร้างสรรค์ผลงาน

ยกตัวอย่างเช่น เราวาดรูปขึ้นมาหรือเราทำกราฟฟิคขึ้นมาสวยงามมาก แล้วเราก็เอาผลงานของเราเนี่ย ไปวางขายบนตลาด NFT ซึ่งในตลาดนี้ ภาพวาด 1 ภาพจะมีมูลค่ามากๆ

ซึ่งตลาดนี้มีเยอะมากๆ เลยที่ให้บริการอยู่ อย่างของ Binance ก็จะมี NFT Binance ที่ให้เราเอาผลงานไปวางขายได้เลย ราคาที่ขายก็หลักแสนก็มีเยอะแยะเลย

ศิลปินหลายๆ คน เอาสิ่งที่เป็นผลงาน เช่นเพลง การออกแบบรูป ไปวางขายเยอะแยะ และได้รายได้ไปมากมายเลย

เราจะเลือกลงทุนเหรียญไหนดี ต้องดูยังไง?

โค้ชครับ “เหรียญนี้ดีไหม เข้าเทรดได้หรือเปล่า” เหรียญที่ดี ดูยังไง? ว่าซื้อแล้วจะขึ้น จะไม่เจ๊ง

ไปดูกันว่า เราจะเลือกเหรียญที่ดีในการเข้าเทรดได้อย่างไร และจะมี Checklist อะไรบ้าง

ก่อนจะเข้าเทรดเหรียญอะไร ลองมาเช็คกันดูหน่อยสิครับว่าเหรียญที่คุณจะเข้าเทรดนั้นตรงตามเช็คลิสต์ของผมบ้างไหม

เหรียญที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ

การยอมรับในที่นี้ หมายถึง การที่องค์กรระดับโลก สถาบันการเงิน รวมถึงประเทศให้การยอมรับเหรียญคริปโตนั้น ๆ หรือยอมรับในการรับชำระเงินด้วยเหรียญคริปโตนั่นเอง เราจะเห็นได้ว่าหลาย ๆ องค์กร หลาย ๆ สถาบันให้การยอมรับ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายนั่นเอง รวมถึงกองทุนต่าง ๆ ที่ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่ด้วยอย่าง grayscale ที่ลงทุนในเหรียญอื่น ๆ เช่น BTC ETH SOL LITE เป็นต้น

Top 20 อันดับ ใน Coinmarketcap

เพื่อน ๆ สามารถเข้าไปเช็คกันได้ที่เว็บไซต์ https://coinmarketcap.com/
เหรียญ 20 อันดับแรกเพื่อน ๆ สามารถเลือกเทรดกันได้แบบสบายใจ ยากมากที่จะเจ๊ง หรือโดน Rug Pull เนื่องจากเป็นเหรียญคริปโต TOP โลก เพียงแค่ใช้เทคนิคอลในการเข้าเทรด ติดตามโปรเจกต์ หรือข่าวปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ก็สามารถเทรดทำกำไรได้สบาย ๆ เลย

เหรียญที่มีเทคโนโลยี และเป็นเหรียญที่สร้างประโยชน์

สงสัยไหมครับว่าทำไมบางเหรียญถึงพุ่งแรง ต่อให้ตลาดแดง ก็ฟื้นกลับมาเขียวไวกว่าเพื่อน อย่าง Solana เติบโตเป็น หมื่น% แบบนั้น เพราะว่าเค้ามีเทคโนโลยีที่ดี และมี Use Case เกิดการใช้งานได้จริง และสร้างประโยชน์ให้กับผู้ที่ถือเหรียญได้

หรือจะเป็นเหรียญที่มี Blockchain มี Smart Contract เป็นของตัวเอง อย่างเช่น ETH DOT ADA BNB เป็นต้น เหรียญพวกนี้จะไม่ค่อยทุบแรง ไม่ค่อยทิ้งไส้ เจ้าไม่ปั่นราคา

บทสรุปโลกคริปโต สำหรับมือใหม่ทุกคน

สรุปก็คือ ตลาดคริปโต เป็นตลาดการลงทุนที่กำลังเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะสามารถทำกำไรได้มหาศาลและมีการเติบโตที่สูง ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย ตามคอนเซป High Risk High Return

จะเห็นได้ว่า คริปโต จะมีรูปแบบการลงทุนและข้อมูลมากมายให้เราศึกษา รวมไปถึงหลากหลายวิธีการทำกำไรบนตลาดนี้ ซึ่งคุณสามารถศึกษาวิธีลงทุนต่างๆ ตามความชอบ และไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้เลย

ปัจจุบันมีคนมากมายต้องการเข้ามาในตลาดนี้แต่ยังศึกษาไม่มากพอ ทำให้เสียกับตลาดนี้เป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกัน คนที่ศึกษามากอย่างดีก็จะมีความสามารถในการจดการความเสี่ยงตรงนั้น และสามารถทำกำไรได้มากมายเช่นกัน

ศึกษาให้ดีก่อนที่จะเริ่มลงทุนนะครับ ไม่ต้องรีบร้อน โอกาสมีมาเรื่อยๆ แต่ถ้าคุณรีบร้อนเกินไป คุณจะเป็นเหยื่อของความโลภ แล้วจะเจ็บหนัก ไม่คุ้มกัน

X